พระราชกฤษฎีกา
จัดตั้งองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๙๙
---------------------
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๙
เป็นปีที่ ๑๑ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๗๕ แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๔๙๕ และมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดั่งต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า "พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๙๙"
มาตรา ๒ พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ในพระราชกฤษฎีกานี้
"คนงาน" หมายความว่า ผู้ที่ทำงานอยู่ในองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้โดยได้รับค่าจ้าง
"พนักงาน" หมายความว่า ผู้ที่ทำงานสังกัดอยู่ในองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ โดยได้รับเงินเดือน ทุกตำแหน่งที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้อำนวยการ
"รองผู้อำนวยการ" หมายความว่า รองผู้อำนวยการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้
"ผู้อำนวยการ" หมายความว่า ผู้อำนวยการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้
"กรรมการ" หมายความว่า กรรมการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้
"คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้
"รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้
มาตรา ๔ ให้จัดตั้งองค์การขึ้นองค์การหนึ่ง เรียกว่า "องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้"เรียกโดยย่อว่า "อ.อ.ป."
มาตรา ๕ อ.อ.ป. มีสำนักงานแห่งใหญ่ อยู่ในจังหวัดพระนคร และจะตั้งสำนักงานสาขาหรือตัวแทนขึ้น ณ ที่ใด ภายในหรือภายนอกราชอาณาจักรก็ได้
มาตรา ๖ อ.อ.ป. มีวัตถุประสงค์ ดั่งต่อไปนี้
(๑) อำนวยบริการแก่รัฐและประชาชนในการอุตสาหกรรมป่าไม้
(๒) ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการอุตสาหกรรมป่าไม้ เช่น เกี่ยวกับการทำไม้ และเก็บหา ของป่า แปรรูปไม้ ทำไม้อัด อบไม้ อัดน้ำยาไม้ กลั่นไม้และประดิษฐ์หรือผลิตวัตถุหรือสิ่งของจากไม้และของป่า และธุรกิจที่ต่อเนื่องหรือคล้ายคลึงกัน รวมทั้งอุตสาหกรรมอื่นใดที่เกี่ยวด้วยไม้หรือของป่า
มาตรา ๗ เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ดั่งกล่าวในมาตรา ๖ ให้ อ.อ.ป. มีอำนาจรวมถึง
(๑) ถือกรรมสิทธิ์ ครอบครองที่ดินและทรัพย์สินอื่นๆ มีสิทธิต่างๆ สร้าง ซื้อ ขาย เช่า ให้เช่า ให้เช่าซื้อ ยืม ให้ยืม จัดหา จำหน่าย แลกเปลี่ยน โอน และรับโอนด้วยประการใดๆ ซึ่งที่ดิน ทรัพย์สินอื่นๆ หรือสิทธิ ทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร
(๒) ค้าผลิตผลและผลิตภัณฑ์ของอุตสาหกรรมป่าไม้ ทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร
(๓) สั่งเข้ามาในและส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ซึ่งเครื่องมือ เครื่องใช้ และเครื่องจักร ที่ใช้ในการอุตสาหกรรมป่าไม้
(๔) เป็นนายหน้าและตัวแทนค้าต่างในการค้าผลิตผลและผลิตภัณฑ์ของอุตสาหกรรมป่าไม้ เครื่องมือ เครื่องใช้ และเครื่องจักรที่ใช้ในการอุตสาหกรรมป่าไม้
(๕) กู้ ยืมเงิน แต่ถ้าเป็นจำนวนเงินเกินกว่าคราวละสามล้านบาทต้องได้รับอนุญาตจากคณะรัฐมนตรีก่อน
ให้กู้ ให้ยืมเงิน หรือจ่ายเงินล่วงหน้าโดยมีหลักประกัน ด้วยบุคคลหรือด้วยทรัพย์ แต่ต้องเพื่อประโยชน์แก่กิจการของ อ.อ.ป.
(๖) ตั้งและรับเป็นสาขา ตัวแทน ตัวแทนค้าต่างหรือนายหน้า ในกิจการต่างๆ ของเอกชนหรือนิติบุคคลใดๆ ทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์แก่กิจการของ อ.อ.ป.
(๗) ร่วมการงานหรือสมทบกับบุคคลอื่น เพื่อประโยชน์แก่กิจการของ อ.อ.ป. รวมทั้งการเข้าเป็นหุ้นส่วนหรือถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือนิติบุคคลใดๆ แต่ต้องได้รับอนุญาตจากคณะรัฐมนตรีก่อน
มาตรา ๘ ให้กรมป่าไม้โอนบรรดาทรัพย์สิน สินทรัพย์สิทธิ ความรับผิด และธุรกิจอันเกิดขึ้นจากการดำเนินกิจการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ของกรมป่าไม้ ซึ่งสังกัดอยู่ในกระทรวงเกษตร ตลอดจนพนักงานและคนงานขององค์การดั่งกล่าวอันมีอยู่ก่อนวันใช้พระราชกฤษฎีกานี้บังคับนั้น ให้แก่ อ.อ.ป. ซึ่งตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกานี้ ดำเนินกิจการต่อไป
ระเบียบการ หรือ ข้อบังคับใด ซึ่งองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ของกรมป่าไม้ได้ใช้อยู่ ก่อนวันใช้พระราชกฤษฎีกานี้บังคับ ให้ อ.อ.ป. ซึ่งตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกานี้คงใช้เป็นข้อบังคับของ อ.อ.ป. ต่อไป จนกว่าจะได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิก
มาตรา ๙ ให้กำหนดทุนของ อ.อ.ป. เป็นจำนวนเงินหนึ่งร้อยล้านบาท โดยรัฐบาลจ่ายให้เป็นทุนประเดิมสิบล้านบาท และจ่ายเพิ่มเติมเป็นคราวๆ ตามจำนวนที่รัฐบาลพิจารณาเห็นสมควร
มาตรา ๑๐ เงินสำรองของ อ.อ.ป. ให้ประกอบด้วยเงินสำรองธรรมดาซึ่งตั้งไว้เผื่อขาด เงินสำรองเพื่อไถ่ถอนหนี้และเงินสำรองอื่นๆ เพื่อความประสงค์แต่ละอย่างโดยเฉพาะตามแต่คณะกรรมการจะเห็นสมควร
มาตรา ๑๑ รายได้ที่ อ.อ.ป. ได้รับจากการดำเนินกิจการในระหว่างปีให้นำไปใช้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อกิจการของ อ.อ.ป. ได้
มาตรา ๑๒ รายได้ในปีหนึ่งๆ เมื่อได้หักราคาต้นทุนของสิ่งที่ได้จำหน่าย หักค่าใช้จ่ายต่างๆ ตามมาตรา ๑๑ และหักค่าภาระต่างๆ ที่เหมาะสมออกแล้วเหลือเป็นกำไรสุทธิประจำปีเท่าใด อาจจัดสรรไว้เป็นเงินสำรองตามมาตรา ๑๐ เงินต่างๆ ตามมาตรา ๑๖ และเงินลงทุนซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว เหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ
ถ้ารายได้มีจำนวนไม่พอสำหรับกรณีดั่งกล่าว นอกจากเงินสำรองที่ระบุไว้ในมาตรา ๑๐และ อ.อ.ป. ไม่สามารถหาเงินจากทางอื่นได้ รัฐบาลพึงพิจารณาจ่ายเงินให้ อ.อ.ป. เท่าจำนวนที่จำเป็น
มาตรา ๑๓ ให้มีคณะกรรมการบริหารกิจการของ อ.อ.ป. คณะหนึ่งประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร เป็นรองประธานกรรมการ และให้ปลัดกระทรวงเกษตร อธิบดีกรมป่าไม้ รองอธิบดีกรมป่าไม้ ผู้อำนวยการ และรองผู้อำนวยการเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง กับมีกรรมการอื่นซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอีกไม่เกินสี่คน ซึ่งในกรรมการอื่นนี้ให้มีผู้แทนกระทรวงการคลังเป็นกรรมการร่วมอยู่ด้วย
มาตรา ๑๔ ผู้มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดั่งต่อไปนี้ต้องห้ามมิให้แต่งตั้งเป็นกรรมการ ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ คือ
(๑) มีส่วนได้เสียในสัญญากับ อ.อ.ป. หรือในกิจการที่จะกระทำให้แก่ อ.อ.ป. ทั้งนี้ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม เว้นแต่จะเป็นเพียงหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดของห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือผู้ถือหุ้นของบริษัทจำกัดที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น
(๒) เป็นพนักงานหรือคนงาน
(๓) เป็นบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย
มาตรา ๑๕ ให้คณะกรรมการมีอำนาจและหน้าที่ วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ อ.อ.ป. และให้มีอำนาจและหน้าที่ดั่งต่อไปนี้ด้วย คือ
(๑) ดำเนินกิจการตามความในมาตรา ๖ และมาตรา ๗
(๒) วางข้อบังคับต่างๆ เกี่ยวกับการบริหารงาน
(๓) วางข้อบังคับว่าด้วยการบรรจุ การแต่งตั้ง การถอดถอน การเลื่อนขั้นเงินเดือน การตัดเงินเดือน การลดขั้นเงินเดือน และระเบียบวินัยของพนักงาน และคนงาน ตลอดจนกำหนดอัตราตำแหน่ง อัตราเงินเดือน ค่าจ้าง และเงินอื่นๆ ของพนักงาน และคนงาน
(๔) กำหนดเงินเดือนผู้อำนวยการ และรองผู้อำนวยการ
(๕) กำหนดอัตราดอกเบี้ย ค่าภาระ ค่าบริการ และค่าดำเนินธุรกิจต่างๆ
(๖) กำหนดอัตราและดอกเบี้ยเงินสะสมของผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ พนักงาน และคนงาน และวางระเบียบการจ่ายคืนเงินสะสม
อำนาจและหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ใน (๑) (๓) (๕) และ (๖) นั้น ถ้าคณะกรรมการเห็นสมควร จะมอบหมายให้ผู้อำนวยการดำเนินการก็ได้
ข้อบังคับว่าด้วยการปฏิบัติงานที่คณะกรรมการวางขึ้นนั้น ถ้ามีข้อจำกัดอำนาจผู้อำนวยการในการทำนิติกรรมไว้ประการใด ให้รัฐมนตรีประกาศข้อบังคับที่มีข้อความเช่นว่านั้นในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๖ ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้กำหนดเงินผลประโยชน์ตอบแทนของประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการ
ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ พนักงาน และคนงาน อาจได้รับเงินบำเหน็จ เงินรางวัล ตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๑๗ กรรมการ นอกจากกรรมการโดยตำแหน่งย่อมพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
(๑) ตาย
(๒) ลาออก
(๓) คณะรัฐมนตรีให้ออก
(๔) ตกเป็นบุคคลต้องห้ามตามมาตรา ๑๔
มาตรา ๑๘ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการ ด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
มาตรา ๑๙ ให้ผู้อำนวยการมีอำนาจและหน้าที่จัดการ และดำเนินกิจการของ อ.อ.ป. ให้เป็นไปตามนโยบายและข้อบังคับของ อ.อ.ป. และมีอำนาจบังคับบัญชาของผู้อำนวยการ พนักงาน และคนงานทุกตำแหน่ง
ผู้อำนวยการ ต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการในการจัดการและดำเนินกิจการของ อ.อ.ป.
มาตรา ๒๐ ผู้อำนวยการมีอำนาจและหน้าที่ดั่งต่อไปนี้ด้วย คือ
(๑) บรรจุ แต่งตั้ง ถอดถอน เลื่อนขั้นเงินเดือน ตัดเงินเดือน หรือลดขั้นเงินเดือน ตลอดจนลงโทษทางวินัยแก่พนักงานและคนงาน ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามข้อบังคับของ อ.อ.ป. แต่ถ้าพนักงานเช่นว่านั้นเป็นพนักงานชั้นที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือชั้นหัวหน้าหน่วยงานต่างๆ ที่ขึ้นตรงต่อผู้อำนวยการ ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการก่อน
(๒) วางระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติกิจการของ อ.อ.ป. โดยไม่แย้งหรือขัดต่อนโยบาย และข้อบังคับของ อ.อ.ป.
(๓) กำหนดเครื่องแต่งกายและวางระเบียบว่าด้วยการแต่งกายของพนักงานและคนงานให้เป็นระเบียบและเหมาะสม และเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการแล้ว ให้ใช้บังคับได้
มาตรา ๒๑ เมื่อผู้อำนวยการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งให้รองผู้อำนวยการเป็นผู้รักษาการแทน ถ้ารองผู้อำนวยการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ผู้อำนวยการแต่งตั้งพนักงานผู้หนึ่งเป็นผู้รักษาการแทน ถ้ามิได้แต่งตั้งหรือไม่อาจแต่งตั้งได้ ให้คณะกรรมการแต่งตั้งผู้รักษาการแทน
ให้ผู้รักษาการแทนผู้อำนวยการมีอำนาจและหน้าที่อย่างเดียวกับผู้อำนวยการเว้นแต่อำนาจและหน้าที่ของผู้อำนวยการในฐานะกรรมการของ อ.อ.ป.
มาตรา ๒๒ ในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้อำนวยการเป็นตัวแทนของ อ.อ.ป. และเพื่อการนี้ผู้อำนวยการอาจมอบให้บุคคลใดๆ ปฏิบัติกิจการบางอย่างแทน ในเมื่อคณะกรรมการกำหนดไว้ในข้อบังคับว่าให้ปฏิบัติแทนกันได้นั้นก็ได้
ในกรณีที่มีข้อบังคับซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาตามมาตรา ๑๕ วรรคท้าย กำหนดไว้ว่านิติกรรมใดผู้อำนวยการจะทำได้ก็แต่โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการก่อน นิติกรรมนั้นผู้อำนวยการทำขึ้นโดยมิได้รับความเห็นชอบดั่งกล่าว ย่อมไม่ผูกพัน อ.อ.ป. เว้นแต่คณะกรรมการจะได้ให้สัตยาบัน
มาตรา ๒๓ อ.อ.ป. อาจจัดให้มีกองทุนสำหรับจ่ายสงเคราะห์ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ พนักงานและคนงาน ในกรณีพ้นจากตำแหน่ง ประสพอุบัติเหตุ เจ็บป่วย หรือกรณีอื่นอันควรแก่การสงเคราะห์
ให้ อ.อ.ป. วางข้อบังคับว่าด้วยกองทุนดั่งกล่าวในวรรคก่อน กำหนดประเภทของผู้ที่พึงได้รับการสงเคราะห์จากกองทุนและหลักเกณฑ์การสงเคราะห์ตลอดจนการจัดการเกี่ยวกับกองทุน
ข้อบังคับดั่งกล่าวในวรรคก่อนให้นำเสนอคณะรัฐมนตรี เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ใช้บังคับได้
มาตรา ๒๔ ให้ อ.อ.ป. เปิดบัญชีเงินฝากไว้กับกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารอื่น ตามระเบียบของคณะกรรมการ ซึ่งได้รับความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
มาตรา ๒๕ ให้ อ.อ.ป. วางและถือไว้ซึ่งระบบการบัญชีอันถูกต้องแยกตามประเภทงานส่วนที่สำคัญ มีการสอบบัญชีภายในเป็นประจำ และมีสมุดบัญชีลงรายการ
(๑) การรับและจ่ายเงิน
(๒) สินทรัพย์และหนี้สินซึ่งแสดงการงานที่เป็นอยู่ตามจริงและตามที่ควรตามประเภทงาน พร้อมด้วยข้อความอันเป็นเหตุที่มาของรายการนั้นๆ
มาตรา ๒๖ ทุกปีให้สำนักงาน คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบและตรวจบัญชี และการเงินของ อ.อ.ป.
มาตรา ๒๗ ผู้สอบและตรวจบัญชีมีอำนาจสอบและตรวจสรรพสมุดบัญชีและเอกสารหลักฐานต่างๆ ของ อ.อ.ป. และเพื่อการนี้ให้มีอำนาจสอบถามประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการ ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการตัวแทน และบุคคลใดๆ ใน อ.อ.ป. ได้
มาตรา ๒๘ ผู้สอบและตรวจบัญชีต้องทำรายงานผลของการสอบและตรวจบัญชี เสนอคณะรัฐมนตรี ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับจากวันสิ้นปีบัญชีของ อ.อ.ป.
มาตรา ๒๙ ให้ผู้อำนวยการจัดทำรายงานประจำปีของปีที่สิ้นไปนั้นเสนอคณะกรรมการ แสดงงบดุล บัญชีทำการบัญชีกำไรและขาดทุน ซึ่งผู้สอบและตรวจบัญชีรับรองว่าถูกต้องแล้ว ภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับจากวันสิ้นปีบัญชีของ อ.อ.ป.
มาตรา ๓๐ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล ป. พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรี
(๗๓ ร.จ. ๘๘๑ ตอนที่ ๕๗ ลงวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๙๙)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ โดยที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ซึ่งเป็นองค์การของรัฐบาล ดำเนินการเพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและช่วยเหลือในการครองชีพ แต่ยังมิได้ยกฐานะองค์การขึ้นเป็นนิติบุคคล สมควรที่จะได้ตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ขึ้น